ช่างเมืองเดิมเป็นคน อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ชีวิตวัยเด็ก ก็เหมือนเด็กทั่วไป เรียนหนังสืออยู่ที่นั้นเมื่อเข้าช่วงวัยรุ่น ก็เริ่มที่จะหางานทำ โดยเป็นเด็กฝึกงานช่างไม้ เกี่ยวกับทำโรงสี ตอนนั้นช่างเมืองอายุแค่ 18-17 ด้วยความที่บ้านยากจน จึงต้องเข้าเมืองมาหางานเลี้ยงตัวเอง ด้วยความที่มีนิสัย ชอบท่องเที่ยว ชอบไปนู้นมานี้ ชอบความสวยงาม ของธรรมชาติ พอเป็นงานขึ้นมาบ้าง ก็เริ่มที่จะออกจาก จ.นครศรีธรรมราช ไปทำงานตาม จังหวัดอื่นๆ ทั่วทุกภาค ที่มีการทำนา ปลูกข้าว บางที่ก็นอนอยู่ที่ จังหวัดนั้น จะมีก้วนเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันที่ร่วมกันมา จาก ใต้ ตกเย็นก็จะเที่ยวเดินเล่น จีบสาวบ้าง ถ้ามีงานวัดด้วยจะยิ่งดี ก็เป็นที่ ที่พักผ่อนยามหลังเลิกงาน ของคนยุคนั้น

ตะแกรงโยก โรงสีข้าว ผลงานต่างๆมากมาย จากช่างเมือง

ช่างเมือง ยืนมองตะแกรงโยก โรงสีข้าว ที่จะนำไปติดตั้ง
จนวนเวียนไปมาหลายที่หลายจังหวัด จึงได้มาปักหลักอยู่ที่ โคราช ทำงานกลับ เถ่าแก่ ที่มาจาก ที่เดียวกัน จากทางใต้ ที่เปิดเป็น ร้านเครื่องจักรสำหรับการเกตร อยู่ที่ตัวเมืองโคราช ทำอยู่นานหลายปีจึงตัดสินใจที่จะออกมาทำเอง แต่ยยังรับงานจากทางร้านเดิม มาทำที่บ้าน มีอยู่หลายร้านที่จ้างช่างเมืองทำ ตะแกรงโยก สีข้าว อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่รุ่นเถ่าแก่ คนเก่าๆ จนมาถึงรุ่นลูกในยุคปัจจุบันนี้

ช่างเมือง เริ่มต้นมาทำงานที่บ้าน โดยรับงานจากลูกค้าเอง และ รับจากร้านเถ่าแก่เดิม
จากวันนั้น วันที่ช่างเมือง ได้ตัดสินใจออกจาก บ้านเกิดตัวเอง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ก็ไม่มีวันที่ช่างเมืองได้กลับไปเหยียบบ้านเกิดของตัวเอง อีกเลย นับเป็นก้าวสำคัญมากๆ เมือตัดสินใจแล้ว จะต้องลุยกับงานที่ต้องเจอข้างหน้า แม้จะเสียน้ำตาบ้าง เมือยามที่คิดถึง แต่ก็จำเป็นต้องจากมา
ปัจจุบันช่างเมืองได้ภรรยาเป็นคนโคราช และได้ตั้งถิ่นฐานปักหลัก อยู่ที่โคราช มาเป็นเวลาหลายสิบปีโดยที่ไม่เคยกลับไปบ้านเกิดตัวเองเลย เป็นคนภาคใต้ ที่ไม่เคยพูดกลาง แม้คนอื่นๆ ที่จะมาฟังแล้วก็งงๆ จับใจความไม่ค่อยได้ แต่นั้นคือเสน่ห์ ที่แท้จริงกับความจริงใจ ที่จะมอบให้กับลูกค้า ที่มาสั่งทำตะแกรงโยก โรงสีข้าว ทุกคน ช่างเมืองทุ่มเททำงาน อย่างเต็มที่ ใส่ใจทุกรายละเอียด กับภาษาใต้ที่ฟังไม่ออกบ้าง และรอยยิ้ม ที่เป็นเอกลักษณ์ ช่างตะแกรงโยก จากเมืองนคร คือ ช่างเมือง โคราช






